วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

อภิชิโตภิกขุ (พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต) ปฏิทาภินิหารพระอาจารย์ในดง

ปฏิทาภินิหารพระอาจารย์ในดง
พระอาจารย์ชาญณรงค์  อภิชิโต (ศิริสมบัติ)
ศิษย์ผู้น้องของพระครูเทพโลกอุดร


พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นามสกุล ศิริสมบัติ เป็นบุตรของ  พระยาศิริสมบัติ มหาเศรษฐีระดับพันล้าน สมัยก่อน
สงครามโลก ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านเรียนจบแพทย์ศิริราชรุ่นหลักสูตรเร่งรัด 2 ปี  ในสมัยสงครามโลก
                เมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้ทำงาน ท่านอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท 2 ท่านคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนาเดช และอาจารย์เฉลียว เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งสนิทกันมาก  ต่างก็เป็นลูกคนมีตระกูลสูงเช่นกัน ท่านประสบอุบัติเหตุตกรถไฟหรือรถรางไม่แน่ใจ แข้งขาหัก เมื่อญาตินำเข้าโรงพยาบาลหมอจะผ่าตัด  ญาติผู้ใหญ่ไม่ยินยอมจึงพาไปรักษากับ หลวงปู่พลอย วัดเงิน (วัดรัชดาธิษฐาน) ตลิ่งชัน เพราะท่านเก่งเรื่องหมอ โดยเฉพาะเรื่องกระดูกแล้วเชี่ยวชาญที่สุด หลวงปู่บอกว่าถ้ารักษาหายแล้วให้บวชเณร เจ้าตัวก็ยอมรับ หลวงปู่จึงรักษาให้ทางไสยศาสตร์ โดยให้พากลับบ้านได้ แล้วท่านก็นั่งปั้นหุ่นรักษาแข้งขาที่หักที่ร่างหุ่น ไม่กี่วันเจ้าของร่างทที่ป่วยก็หายเดินได้เป็นปกติ เมื่อหายแล้วจึงรัษาสัจจะกับหลวงปู่ ไปบรรพชาเป็นสามเณร อยู่กับท่าน ทั้งได้ชวนเพื่อนสนิทไปด้วย คือ หม่อมเจ้าไชยเดช และอาจารย์เฉลียวดังที่กล่าวมาแล้ว  อยู่กับหลวงปู่ระยะหนึ่ง ท่านก็ส่งสามเณรทั้ง 3  ไปเรียนวิชากับ หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระปฐมเจดีย์นัก
                สามเณรทั้ง 3 อายุ 18-19 อยู่ในวัยกำลังซุกซน วันหนึ่งชวนกันไปเที่ยวขุดหัวมันในป่า อยู่ติดกับวัดนั่นเอง กำลังขุดกันเพลินก็มีเสียงทักขึ้นว่า 
                                “ เณร ทำอะไรกัน”
สามเณรพากันเหลียวดูก็เห็นตาแก่ผิวดำ หัวโล้น นุ่งกางเกงขาก๊วย รูปร่างสูงใหญ่ ยืนยิ้มอยู่ จึงพากันตอบว่า 
“ ขุดหัวมันจะเอาไปต้มกิน”.
ตาแก่บอกว่า
                                “มันสุกอยู่ในดินแล้วขุดขึ้นมาก็กินได้ทันที ไม่ต้องเอาไปต้นหรอก”
เมื่อสามเณรขุดขึ้นมาก็สุกจริงดุจที่ตาแก่บอก จึงมองหน้ากันด้วยความฉงน ตาแก่ถามว่า
                                “พวกแกว่าฉันเก่งมั้ย อยากเป็นศิษย์ของฉันมั้ย”
ทั้งสามมาจากตระกูลสูง เมื่อมีตาแก่บ้านนอกมาใช้วาจาไม่เป็นที่เคารพ ขึ้นฉัน ขึ้นแก  แล้วยังมาอาสาเป็นอาจารย์อีก จึงแสดงความไม่พอใจ พูดสวนขึ้นว่า 
                                “ตาแก่ แกมีดีอะไรหนักหนาถึงบังอาจมาอาสาเป็นอาจารย์ของพวกข้า”ณ
                                “เอางี้มั้ยพนันกัน ฉันจะให้พวกแก 3 คนนี่ทำร้ายโดยวิธีไหนก็ได้ ถ้าฉันได้รับอันตรายใด ๆจะไม่ถือโทษ แต่ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกแกต้องเป็นศิษย์ไปเรียนวิชากับฉัน
ทั้งสามท่านได้รับคำท้าดังนั้น จึงรีบลุกขึ้นพากันทำร้ายตาแก่คนนั้น บ้างเตะ บ้างต่อย บ้างเอาท่อนไม้ตี  เอาก้อนหินทุบขว้าง พยามลงมือกันเป็นเวลานานจนสิ้นเรี่ยวแรง ตาแก่ก็นั่งบนขอนไม้ให้ทำร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน และไม่แสดงกิริยาอากรเจ็บปวดแต่อย่างใดทั้งสิ้น จนทั้งสามท่านล้มนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ตากแก่หัวเราะฮา ๆ พูดว่า
                                “พวกแกแพ้ฉันแล้วต้องกราบรับฉันเป็นอาจารย์เดี๋ยวนี้”  สิ้นคำสามเณรทั้ ง๓  แล้วหายแวบจากที่นั่นไปโผล่ในดงลี้ลับแห่งในชั่วพริบตา
พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า  ในดงนั้นมีพระและฆราวาสที่อยู่ฝึกวิชากับตาแก่ประมาณ 50 ท่านมีฆราวาสมากกว่าพระ  และทุกท่านเรียกตาแก่ว่า  “หลวงตาดำ”   พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยถามชื่อของท่านว่าชื่ออะไรกันแน่ ท่านให้เรียกว่า “หลวงตาดำ”  ก็ใช้ได้แล้ว ถามว่าเป็นคนหรือภูต ผี หรือเทวดา ท่านก็ให้จับดู ก็เห็นเป็นคนมีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน  เมื่อถามถึงอายุ ท่านบอกว่าไม่รู้กี่ปี  ท่านร่วมงานพระศพของพระพุทธเจ้า  ท่านเป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ได้รับมอบหมายให้บำเพ็ญอิทธิบาทธรรมมีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อรักษาพระศาสนา  คราใดที่พระศาสนาเริ่มเสื่อมเศร้าหมอง  มีอลัชชีเช้ามาอาศัยในพระศาสนามาก คำสอนอันแท้จริงเริ่มเสื่อม  ท่านต้องฝึกลูกศิษย์ขึ้นมาเพื่อช่วยกันสั่งสอนใหม่  ให้กลับคืนสู่เนื้อหาพุทธศาสนาอันจริงแท้
                                พระอาจารย์ในดง  ลูกศิษย์ของหลวงตาดำนั้น พระอาจารย์ชาญณรงค์บอกว่า  เท่า ๆ ที่เคยพบเห็นและเรียกกันในดง  มีหลวงพ่อตีนโต เป็นพระที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เท้าใหญ่ วัดจากล่างถึงหัวเข่าได้ 81 เซนติเมตร ท่านเปิดเผยตัวเองบ่อย เพราะชอบสอนคน จึงมีคนพบเห็นท่านเสมอ  ที่มักเรียกขานกันว่า  หลวงปู่เทพโลกอุดร  ความจริงชื่อนี้ไม่มีใครเรียกหรือรู้จักกันในดง เห็นเรียกรูปพระที่ปรากฏในภาพถ่ายโบราณว่า  พระครูเทพโลกอุดร  ความจริงเป็นรูปของหลวงพ่อตีนโต  ท่านเป็นพระกรรมฐานนิกายธรรมยุตเกิดในสมัยรัชกาลที่  4-5 เข้าเป็นศิษย์ของหลวงตาดำรุ่นเดียวกับกรมพระราชวังบวรวิเศษไชยชาญหรือพระองค์ดำ  เป็นคนร่วมสมัยกับหลวงปู่สุก วัดปากคลอง มะขามเฒ่า ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ผู้มักท่องเที่ยวอยู่ในป่าแถวจังหวัดกาญจนบุรี เหตุที่ชื่ออย่างนั้น เพราะท่านปลูกต้นโพธิ์เป็นวงกลม ปลูกติด ๆ กัน พอต้นโพธิ์โตขึ้นก็มีโพรงใหญ่อยู่ข้างใน  ท่านก็ใช้เป็นที่อยู่ของท่าน พระในดงเขาไม่เรียกชื่อจริง  ใครมีลักษณะแบบไหนก็เรียกไปตามนั้น  ลืมชื่อสมมติในโลกให้หมด  หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ท่านมีลักษณะสกปรกมอมแมมด้วยฝุ่นขี้เถ้า เพราะท่านนิยมก่อไฟบูชาไฟ เพ่งกสิณไฟ  และไม่เคยอาบน้ำ  ศิษย์ของท่านที่ผู้คนรู้จักดี คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา และ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเศียรบาตร มีชื่อตามลักษณะของท่านซึ่งมีศีรษะโตใหญ่
                                ตามบันทึกของอาจารย์พันเอกชมบ่งว่า  12 ตุลาคม 2535  ไปเยี่ยมอาจารย์ชาญณรงค์ กับพ.อ.ยนต์ ท่านเล่าว่า หลวงพ่อตีนโต หลวงปู่สุข (อาจารย์แจ้งฌานแห่งเขาใหญ่) หลวงตาแป้น และท่านเจ้า(เสด็จกรมวังหน้า ร.5) และหลวงพ่อโพรงโพธิ์ เรียนกับหลวงตาดำรุ่นเดียวกัน เป็นคนไทย 5 คน ที่เรียนจบแล้วเป็นครูฝึก รุ่นเดียวกับอาจารย์ชาญณรงค์มีอาจารย์ประทุม อาจารย์เฉลียว อีกคนตายชื่อ ศิริ หลวงปู่แป้น หลวงปู่พลอย เป็นศิษย์นอกดงของหลวงตาดำ  หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ เป็นศิษย์นอกดง (ไม่บ่งว่าเป็นศิษย์ใคร)  อาจารย์ฉลอง ผู้ทำยาทูลฉลอง อาจารย์พัว แก้วพลอย เป็นศิษย์นอกดง เรียนกับหลวงปู่สุข (แจ้งฌาน) ที่เขาใหญ่
                                6 สิงหาคม 2535 อาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า  ลูกศิษย์นอกดงที่เก่งพิเศษยกตัวอย่าง หลวงตาพุก ตำรวจจะมาจับมาพบคุยว่าจะมาเยี่ยมหลวงตา หลวงตาทักว่า  ปืนที่พกมาสวยขอได้ไหม ตำรวจก็มอบปืนให้ตำรวจอีกคนเห็นพระของหลวงตาพุกเหมือนของตนก็อยากได้ของท่านเอามาไว้คู่กัน  หลวงตาให้เอาพระออกมาดู  พอเอาให้ท่านดูกลับถวายท่านไปอีก หากหลวงตาพุกไปขออะไรกับใคร ถ้าไม่พบก็สั่งเขาไว้  เขาก็ต้องเอาของมาให้ตามที่ท่านขอ
                                12 ตุลาคม อาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า หลวงตาพุก เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงเลน จากวัดเงินจะไปออกคลองบางกอกน้อยเป็นที่ตั้งของวัดเชิงเลน
                                4 ตุลาคม 2529 ถามอาจารย์ชาญณรงค์ว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นอาจารย์องค์ไหน ท่านตอบว่า  คือหลวงพ่อตีนโต  อยู่จังหวัดกาญจนบุรี เท้าและหูโตผิดปกติ ว่าเท้ายาวกว่า 1 ศอก ฝ่าเท้าถึงเข่ายาว 81 เซนติเมตร ขรัวขี้เถ้านั้นอยู่กาญจนบุรี  ชอบสุมฟืนเป็นขี้เถ้า หลวงปู่โพรงโพธิ์ปลูกต้นโพธิ์เป็นวงหลายต้น สูงขึ้นก็รวบยอดมัดติดกัน  พอต้นโตก็ติดกันกลายเป็นโพรงอยู่ข้างในต้นไม้นี้อยู่กาญจนบุรี  ต่อมาเขาไปตัดทิ้งหมด  ท่านจึงอยู่ไม่เป็นที่

                                จากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาทำให้ทราบว่า  ศิษย์ในดงนั้นมีหลายชาติ หลายภาษา หลายทวีป เมื่อใครเข้าไปอยู่ในข่ายฌานของหลวงตาดำ  ท่านก็จะไปทรมานแล้วรับมาเป็นศิษย์ฝึกวิชากับท่านในดงลี้ลับซึ่งดงนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดกันแน่  เพราะไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน เมื่อหลวงตาดำพาไป ก็ใช้เวลาพริบตาเท่ากัน คนอยู่ในประเทศไหนก็เลยคิดว่าดงนั้นอยู่ในประเทศของตน  
                                ในบันทึกของ พ.อ. ชม กล่าวว่า  4 ธันวาคม 2534  ไปเยี่ยมพระอาจารย์ชาญณรงค์  อภิชิโตท่านไปฝึกอยู่บนภูเขาหิมะ  ซึ่งมีความสูงมากในอเมริกา  หิมะตกแล้วรอให้จับแข็งเป็นน้ำแข็งไปเมื่อ  31 สิงหาคม 2534 อยู่บนเขาที่มีน้ำแข็ง 2 ลูกเป็นเวลา 20 วัน จ้างเฮลิคอปเตอร์ไปส่งและรับ เที่ยวละ  7-8 หมื่นบาท เอามาม่าและเตาแก๊สไปทำอาหารฉันเอง กางเต็นท์อยู่ ท่านเล่าว่า การเรียนขั้นสุดท้ายนี้ต้องรอให้พร้อมกันทั้ง 8 คน รวมกับคนที่จบแบบฝึกหัดไปก่อนแล้ว  มีไทย  3 คน คือ อาจารย์เฉลียว อาจารย์ปทุม อาจารย์ชาญณรงค์ อเมริกา 2  คน เดนมาร์ก 1 คน  สิกขิม  1  คน  ทิเบต  1  คน  (นายราเชน)
                                ในบันทึกนี้ แสดงให้เห็นว่าศิษย์ของท่านแต่ละรุ่นนี้มีไม่มากและอยู่กันคนละประเทศเท่าที่มีบุญบารมีจะปฏิบัติธรรมได้

ตอนที่  2  การฝึกวิชากับหลวงตาดำในดงลี้ลับ
                                สามสหายอยู่ฝึกวิชาฌาน 8 กับหลวงตาดำในดงลี้ลับเป็นเวลาเกือบ 4 ปี เมื่อสำเร็จฌาน 8 ท่านก็ส่งตัวออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อมาฝึกวิชาภาคสนามต่อสู้กับกิเลส ตัณหา อันจะเป็นบรรทัดฐานให้ฝึกจิตขั้นสูงโลกุตรธรรมตราบจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด สหายอีก 2 ท่านสึกออกมาฝึกในเพศฆราวาส มีเพียงท่านอาจารย์ชาญณรงค์เท่านั้นที่ยังเป็นบรรพชิต
                                เมื่อจบออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หลักสูตรขั้นแรกคือต้องฝึกลูกศิษย์ให้ได้ 10 คนเป็นอย่างน้อย ตามหลักวิชาฤทธิ์อภิญญาที่เรียนมาจากในดง  เพื่อสร้างคนมีคุณภาพไว้สืบพระศาสนา ศิษย์ที่ไปเรียนในดงลี้ลับเรียกว่า ศิษย์ในดง  ศิษย์ที่เรียนต่อจากศิษย์ในดงเรียกว่า  ศิษย์นอกดง  ถึงแม้อยู่ในป่าเขาตลอดก็เรียกว่าศิษย์นอกดงอยู่นั่นเอง ศิษย์นอกดงรุ่นแรกของอาจารย์ชาญณรงค์เท่าที่ทราบมี หลวงพ่อคูณ ผู้โด่งดังในยุคปัจจุบัน เสือดำ ผู้ล่องหนหายตัว ซึ่งต่อมามีบารมีธรรมถึงขนาดหลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับ อีกท่านมีนามว่าอาจารย์ละมูล ส่วนอาจารย์พันเอกชม เป็นศิษย์รุ่นหลัง ซึ่งมีอีกมากมายหลายสิบท่าน ล้านแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง
                                เสือดำ  ผู้มีความสามารถล่องหนหายตัวได้นี้ เพราะเรียนวิชาจากอาจารย์ชาญณรงค์ แต่เรียนหลังจากกลับใจเป็นคนดี ทางโลกไม่สามารถไถ่ถอนได้ง่าย ๆ ทางการจึงตามล่าพบเสือดำอยู่ในกระท่อมน้อยกลางป่าซึ่งเป็นที่ฝึกจิตของเขา ตำรวจจึงล้อมไว้ทุกด้านแล้วกราดปืนยิงอยู่ จนกระท่อมพรุนไปทั้งหลัง ขณะนั้นเสือดำนั่งสมาธิอยู่ แมวที่เลี้ยงไว้ตกใจกระโดดขึ้นนอนบนตักเสือดำ ท่านจึงใช้วิธีกำบังแคล้วคลาดในบัดดล เมื่อตำรวจแน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอนแล้ว จึงพากันเข้าไปเคลียร์พื้นที่  พบแต่แมวนอนอยู่ตัวเดียว แต่หาได้รับบาดเจ็บไม่ส่วนร่างของเสือดำไม่ปรากฏ แต่เขาก็ปิดคดีว่าเสือดำสิ้นไปแล้ว  และเสือดำก็ถูกหลวงตาดำรับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับตั้งแต่บัดนั้น           
                                การศึกษาในดงของอาจารย์ชาญณรงค์นั้นมีขั้นตอนต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
1.     เมื่อเริ่มต้นไปฝึกสมาธิในดง ท่านสั่งให้นั่งสมาธิ รู้สึกนานเตรียมเลิกเอง  หลวงตาดำ จะก้าวข้ามหัวไปเหยียบมือเอาไว้ พูดว่า  “เอ้านั่งให้มันตายไป”
2.     สมาธิดีพอควรแล้วให้ไปนั่งสมาธิในทางเสือผ่าน และสั่งว่าถ้าไม่อยากตายให้นั่งสมาธิ
3.     กำหนดให้เดินธุดงค์คู่แล้วเดินเดี่ยวไปในป่าลึก ในป่าประเทศต่าง ๆ หลายแห่ง บางครั้งต้องอาหารหลายวัน
4.     สอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปหายากตามลำดับขั้นของสมาธิ การทำใบไม้ให้เป็นสัตว์ เดินลอดภูเขา เป็นต้น
5.     นั่งเข้าฌานให้ได้ในสภาพอากาศต่าง ๆ กัน เช่น เข้าฌานในทะเลทรายที่ร้อนจัดตามที่ท่านกำหนดให้ ฝึกอยู่ในทะเล 20 วัน
6.     เดินในเมืองตามเส้นทางที่ท่านกำหนดให้ โดยไม่ให้พักเลย นอนได้วันละ  3 ชั่วโมงไม่ให้เข้าอยู่ใต้ชายคา
7.     ไม่ให้พูด 15 วัน  และกำหนดเส้นทางให้เดิน
8.     ให้เป็นคนขอทานครบ 27 วัน ไม่ให้ใช้เงิน วันหนึ่งให้ขอ 2 คน ขออาหารกิน  5  แห่ง ขอเงินจากคนหนึ่งเพียงบาทเดียว ต่อไปต้องหาใช้คืนเขา  2,500 บาท 
9.     ช่วยแก้ทุกข์ของคนตามกำหนด เช่น ช่วยรักษาคนป่วยโรคมะเร็ง คนติดเฮโรอีน คนขอย้ายที่ทำงาน เป็นต้น
10.             เรียนจบปีที่ 6 แล้วให้โดยลงเหวลึกสลบไป 4 วัน ให้รู้เห็นว่ามีกายทิพย์ออกจากร่างไปเที่ยวไกล ๆ เหมือนคนตายแล้วฟื้น หรือที่ตายจริง เป็นการเรียนรู้การตายว่าตายอย่างๆร
11.             นั่งบนน้ำแข็ง 20 วันที่เมืองซีแอตเติล ในอเมริกา
12.             ขั้นสุดท้ายฝึกล่องหนหายตัว ขั้นนี้รวมฝึกพร้อม ๆ กัน ทั้ง 8 ท่าน
พระอาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า การฝีกที่โหดที่สุดคือการฝึกในดงคอนกรีต เพราะต้องต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับ
คนสารพัดรูปแบบ เพราะคนนี้มีความสลับซับซ้อนกว่าพวกสัตว์ในป่า เขามาหาเราด้วยกลวิธีที่แตกต่างกันการอยู่ป่าถ้าเราเข้าใจชีวิตสัตว์ป่า  เราก็อยู่ในป่าได้สบาย  จะมีความปลอดภัยจากสัตว์ป่า แต่คนนี่ไม่ว่าเราจะเข้าใจเขาอย่างไรก็มีการเริ่มต้นใหม่ทุกที  ยุทธวิธีหนึ่งก็ใช้ได้กับคน ๆ หนึ่งเท่านั้น  การฝึกในป่าคอนกรีตจึงใช้เวลานานมาก  ต้องสอบตกแล้วตกอีก 
                                ทั้งสามท่านเมื่ออกจากป่ามาใหม่ ๆ นั้นเที่ยวลองท้าวิชากับครูบาอาจารย์โด่งดังอยู่เสมอโดยเฉพาะวิชาที่ใช้สมาธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งท่านเรียนจบมาแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการการเสกวัตถุให้เป็นสัตว์หรืออื่น ๆ
                                ไปเสกก้างปลาทูให้เป็นปลาว่ายในน้ำให้หลวงปู่พลอยผู้เป็นอาจารย์ดู หลวงปู่บอกว่าพวกแกยังไม่เก่งหรอก ดูของฉันก็แล้วกัน ว่าแล้วหลวงปู่พลอยก็เสกก้างปลาทูให้แหวกว่ายอยู่ในน้ำให้ดู ท่านหลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต จึงยกย่องหลวงปู่พลอยมากว่าเป็นพระที่มีความเก่งกล้าสามารถ มีพลังจิตสูงมาก
พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตฝึกฝนวิชามาถึงข้อ 8 ก็มาเสียเวลาอยู่หลายปี เพราะมีข้อแม้ว่า ถ้าขออาหารเขากินแล้วต้องช่วยเหลือเขา เวลาเขามีทุกข์เดือดร้อน  ถ้าแก้ปัญหาเขาไม่เสร็จก็ผ่านไม่ได้ ท่านไปติดเจ้าของโรงสี ซึ่งใช้เวลาหลายปีเขาจึงหมดปัญหา
                เมื่อถึงข้อ 10 ท่านเดินธุดงค์ไปในป่าเขาใหญ่ ลงเหวลึก ณ  สถานที่แห่งหนึ่งการกระโดดเหวนี้นี่เพื่อทดสอบการเข้าฌานว่าเร็วขนาดไหนคนจะฝึกขั้นนี้ต้องเข้าฌานให้เร็วเป็นวสี พอกระโดดลงไปสามารถเข้าฌานกลางอากาศทันที ร่างของท่านลอยละลิ่วลงกระทบก้อนหินข้างล่างจนสลบไป 4 วัน เมื่อร่างกระทบพื้นและสลบไปนั้นวิญญาณกออกจากร่าง เรียกว่ากายทิพย์ เมื่อคิดจะไปไหนก็ไปได้ทันที ไปปรากฏ ณ สถานที่แห่งนั้น ท่านก็ทดลองทัน โดยนึกไปสนามบิน ท่านไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ไม่มีใครเขาได้ยิน ไม่มีใครเขาขายให้ จึงเดินขึ้นเครื่องเอง มีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่งท่านก็ไปนั่ง นั่งไปนั่งมาพอเครื่องขึ้น แอร์โฮสเตสก็มานั่งทับ ท่านก็รีบลุกขึ้นไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งปลอดคน แล้วจดจำชื่อและรูปร่างหน้าตาของพนักงานไว้ และเที่ยวบินนั้นมีใครพอรู้จักบ้างก็ไปทักทายก็ไม่มีใครเห็นท่านสักคน ท่านก็จำลักษณะของเครื่องแต่งกายของเขาไว้ จนเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็ไปเที่ยวหาใครต่อใครก็ไม่มีคนเห็นท่าน ถ้าพบพวกวิญญาณด้วยกันก็จะคุยกันได้ ท่านก็จดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ตอนนั้นไว้เพื่อนำมาสอบหลังจากฟื้น
                เมื่อครบ 4 วัน แล้วท่านก็ฟื้นขึ้นมา ร่างของท่านเพียงถลอกปอกเปิกนิดหน่อยเท่านั้น  ออกจากดงแล้วท่านก็เข้ากรุงเทพฯ แล้วไปสอบถามคนที่ท่านหมายตาไว้ว่าใครบ้าง ไปถามเขาว่าวันนั้นนั่งเครื่องบินใส่เสื้อผ้าสีนั้นพูดคุยกันอย่างนั้นอย่างนี้ กับคนนั้นคนนี้ใช่ไหม ก็ได้รับคำตอบตรงกับที่เห็นตอนวิญญานไปประสบมานั่นเอง   
                คนที่ฝึกขั้นนี้ไม่ผ่านก็ต้องตายจริง ๆ นั่นหมายถึง เข้าฌานไม่ทัน ซึ่งต้องเสียชีวิตจริง ๆ แต่สามารถไปฝึกต่อในสัมปรายภพได้เพียงแต่จะเนิ่นช้ากว่ามนุษย์  มีเพื่อนร่วมรุ่นของท่านชื่อศิริ ซึ่งต้องเสียชีวิตจริง ๆ แต่สามารถไปฝึกต่อในสัมปรายภพ ได้ เพียงแต่จะเนิ่นช้ากว่ามนุษย์
                เมื่อท่านอาจารย์ชาญณรงค์ จบหลักสูตรฝึกในดินแดนน้ำแข็งแล้ว ก็เหลือหลักสูตรสุดท้ายจากนั้นต้องไปฝึกในดงต่อ หลักสูตรการล่องหนหายตัวนี้มักมากับความตายเสมอ เมื่อถึงขั้นนี้หากเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ดีท่านห้ามรักษาไม่ว่าจะด้วยยาสมุนไพรหรือพลังจิต ให้เรียนรู้การเจ็บป่วย อาจารย์ชาญณรงค์ ท่านเป็นริดสีดวงทวาร ลูกศิษย์บางคนก็คะยั้นคะยอให้ท่านไปหาหมอ ท่านรบเร้าไม่ได้ก็ไป แต่บอกว่าตรวจเฉย ๆ ห้ามผ่า ห้ามตัดอะไรของท่าน แต่หมอไม่ฟังได้ตัดเอาชิ้นเนื้อที่งอกออกไปตรวจ ตั้งแต่นั้นแผลก็ลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งเข้าไปถึงลำไส้ ท่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ยอมรักษาจนอาการหนักเขานำท่านไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนจะสิ้นใจ ท่านสั่งโยมอุปัฎฐากไว้ว่า ให้จัดการศพอย่างไรห้ามหมอฉีดยากันเน่าเหม็น ให้คงธรรมชาติไว้ที่สุด เมื่อท่านสิ้นใจแล้วเขาก็แต่งศพท่านตามคำสั่ง แล้วนำศพไปเก็บไว้ที่ศูนย์ฝึกวิชาของท่านแก่ศิษย์ แถววงแหวน พุทธมนฑล เมื่อครบ 7 วัน ก็ทำบุญให้ท่าน เขาเปิดศพดูก็เหมือนคนนอนหลับ ทั้งไม่มีกลิ่นเหม็นใด ๆ ทั้งสิ้น  นอกจากกลิ่นอับเท่านั้น พอครบ 50 วัน ก็เปิดศพอีกทีหนึ่ง ปรากฏรูปหน้าไม่ใช่ท่านแล้ว อาจารย์พันเอกชมเอามือเข้าไปควานดูภายในก็มีแต่ความว่างเปล่า  หามีร่างของท่าน คงเห็นแต่ภายนอกว่ามีศีรษะ เท้า 2 ข้าง  และมือ 2 ข้าง ที่โผล่ออกมา จากผ้า  จากการพิจารณาเปรียบเทียบใบหน้าศพกับหน้าของท่านไม่มีร่องรอยสักนิด จึงสันนิษฐานว่าท่านใช้วิชาสับเปลี่ยนร่าง หรือเนรมิตร่างตายแทน แล้วล่องหนหายตัวไปในดงลี้ลับแล้ว
            ผู้ที่ฝึกสำเร็จเมื่อไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว เมื่อจากไปมีอายุเท่าไรก็จะมีอายุเท่านั้น เป็นอมตะหรือยืนยาวถึงหมื่นปี เพราะโลกของชาวบังบดหรือเมืองลับแลคนที่ไปอยู่ที่นั่นจะต้องอายุยืนยาว พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตบอกว่า  ท่านไม่แน่ใจว่าหลวงตาดำเป็นคนจริง ๆ หรือวิญญาณ เพราะจับดูท่านก็มีเลือดเนื้อเหมือนพวกเรา  แต่มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า  เมื่อเข้าไปอยู่ในดงใหม่ ๆ นั้น ท่านเห็นพระรูปหนึ่งแก่หง่อมมาก ตัวสั่นงกเงิ่น เดินหลังโกงเหมือนมีอายุมากที่สุดในดง  เมื่อสอบถามดูปรากฏว่ามีอายุน้อยกว่ารูปอื่น ๆ ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราว 50-60 ปี  ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝึกตอนแก่ เมื่อสำเร็จแล้วเข้าไปอยู่ในดง ท่านก็จะปรากฏในวัยนั้นตลอดไป  บางท่านเห็นหน้าในวัยกลางคน เมื่อถามอายุกลับประมาณไม่ได้ว่ากี่ร้อยปี
                การมีอายุยืนยาวของท่านเหล่านี้  จะเป็นด้วยการบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือแม้พระพุทธเจ้าถ้าทรงบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมก็ต้องอยู่ในอีกมิติหนึ่งเช่นท่านเหล่านี้จึงสามารถมีอายุได้เป็นกัป
เป็นกัลป์ดุจพระไตรปิฎกกล่าวถึง  หรือเพราะบรรดาท่านท่านอยู่ในดงลี้ลับนี้ฉันยาอายุวัฒนะแล้วเข้าสมบัติทุกเดือน  จึงมีอายุยืนนานเป็นร้อยเป็นพันปี  เพราะศิษย์ของพระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต ทั้งหนุ่มสาวสองคนนั้นและท่านอาจารย์ชมเองก็บอกกล่าวว่า  กวาวเครือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ศิษย์ทั้งในดงและนอกดงต้องรับประทาน  โดยสับเปลี่ยนกับยาอีก 2 ขนาน เวียนกันไปมา โดยเฉพาะช่วงที่เริ่มฝึกฝนนั้นพระอาจารย์จะให้กินยา  3  ขนาน
                ถ้าพิจารณาดูตามคุณภาพของกวาวเครือแล้วก็มีว่า  ยาตัวนี้ทำให้นั่งทน ยืนนาน เดินทน เส้นสายประสาทต่าง ๆ ทำงานได้ดี จิตใจแจ่มใส สติปัญญาหลักแหลมคม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักฝึกจิตต้องมีกันทุกคน  ท่านจึงให้กินกวาวเครือเป็นยาสำคัญหนึ่งในสามของยาเหล่านั้น และยาตัวนี้ตามตำรายาโบราณ ซึ่งได้มาจากศิษย์ของอาจารย์ชม และเป็นข้อเขียนคัดลอกของอาจารย์ชมมาจากตำราโบราณ เป็นตำราที่แสวงหามานาน เพิ่งมาได้จากบุคคลเหล่านี้  พร้อมกับประวัติพระอาจารย์ใหญ่ในดงมาผสมอีกทีหนึ่ง  ซึ่งจะมีส่วนผสมอะไรบ้างไม่มีใครทราบ และพระในดงทุกรูปล้วนเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรเป็นเลิศ ความรู้เหล่านี้ท่านให้ศึกษาไว้ช่วยเหลือคนป่วยเป็นการโปรดสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก  จะสังเกตเห็นว่ามีในหลักสูตรการฝึกด้วยว่าต้องรักษาคนป่วยให้หายขาดในตำราบันทึกของอาจารย์ชมนั้นนอกจากมีเคล็ดการฝึกวิชาต่าง ๆ แล้วยังมีตำรายาสมุนไพรหลากชนิดจากอาจารย์ต่าง ๆ รวมของพระอาจารย์อภิชิโตด้วย โดยเฉพาะกวาวเครือเป็นตำราที่ยาวกว่าเพื่อนที่ท่านบันทึกไว้ ทั้งท่านก็ยืนยันถึงความวิเศษกับของยาขนานนี้ ถึงกับเขียนไว้ในหนังสือที่ท่านแต่งเผยแพร่ อันว่าด้วยตำรายาวิเศษทีเด็ดของไทย มีทั้งกวาวเครือ เสลดพังพอน มะเกลือ เป็นต้น ผู้เขียนจึงขอนำตำรากวาวเครือลงมาแทรกไว้ในที่นี้เพื่อเป็นวิทยาทาน
                ผู้เขียนได้ทราบเรื่องราวกวาวเครือจากหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2513-2514 ซึ่งลงข่าวคุณปู่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน อายุได้ 139  ปี  สามารถผ่าฟืน หาบน้ำ และทำงานหนักอื่น ๆ ได้เช่นคนหนุ่ม  มีหน้าอกเหมือนหญิงสาว ผมยังดำ  ฟันยังมีครบทุกซี่  ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์เมื่อนักข่าวสอบถาม จึงบอกว่ากินยากวาวเครือน้ำผึ้งมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม  จึงมีอายุยืนและแข็งแรงอย่างนี้
            พอมาปี 2516 ก็มีข่าวอีกว่าเมียเช่าจีไอกินกวาวเครือเพื่อเสริมทรวงอกทั้งมีรูปลงให้ดูด้วย เขาบอกว่ามีตำราที่พระพิมพ์แจก ซึ่งผมก็แสวงหา ตำรานั้นคือฉบับนี้แหละ
                ตำรายาหัวกวาวเครือของหลงงอนุสารสุนทร พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2474
                นายเปลี่ยน  กิติศรีผู้แปลเรียบเรียง จากตำราพม่า  ได้จากพระมหาเจดีย์ในเมืองพุกาม ราชธานีเก่าของพม่า  พม่าเรียกตำรานี้ว่า  “เปาก์เซ” คนอ่อนเพลียไม่มีแรง  ผอมแห้ง นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยา 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียก็หายเดินไปมาได้ นอนหลับดี หัวกวาวเครืออย่างขาวนั้น กินเท่าเม็ดพริกไทยวันละ 1 เม็ด ก่อนเข้านอน อย่างดำนั้นกินเท่าเม็ดพริกไทยผ่าสามเอาหนึ่งส่วน อย่างแดงเท่าเม็ดพริกไทยผ่าสามกินสองส่วน วันละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 1 เม็ด
                กวาวบำรุงโลหิต  บำรุงสมอง กำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี กินแล้วอ้วนท้วนกลับมีระดูอย่างสาว หญิงกินแล้วนมมีไตแข็งขึ้น ชายกินแล้วพานจะขึ้นนมจะแข็ง  เหมือนเด็กหนุ่มได้ มีกล้ามเนื้อออกมา เนื้อหนังเต่งตึง ห้ามคนหนุ่มสาวและเด็กไม่ให้กิน กินยานี้มีของต้องห้ามคือ ของดองเปรี้ยวดองเค็ม และกินยานี้ให้หมั่นอาบน้ำวันละสามหนและถือศีลห้าให้มั่นคง

พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต  ท่านเกิดเมื่อวันที่  6 เมษายน  2467 จาก เมื่อ 27 พฤศจิกายน  2536  เหล่าศิษย์กำลังรอคอยวันกลับมาของท่านหลังจากเสร็จกิจพระศาสนา คือเป็นพระอรหันต์แล้ว เคยมีศิษย์ที่สามารถนั่งทางในมีตาทิพย์ ได้สำรวจดู พบว่า เมื่อทางโลกทำบุญ 50 วัน  ทางดงลี้ลับก็ทำเช่นกัน โดยมีเจ้าของงานคือ  พระอาจารย์อภิชิโตคอยเดินไปมา จัดเครื่องพิธีกรรมต่าง ๆ อยู่และมีหลวงตาดำในชุดขาวคอยควบคุมดูแลและเป็นหัวหน้าพิธีกรรม จะจริงหรือเท็จพวกเราไม่มีสิทธิ์รู้


วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

วัน เดือน ดิถีขึ้น-แรม ที่ควรทำการมงคลทั่วไป

วันขึ้นบ้านใหม่
วันพุธบริสุทธิ์ดีเลิศ
วันพฤหัสประเสริฐล้น
วันศุกร์สุขอำนวยโชคนานานัปการ
วัน เดือน ดิถีขึ้น-แรม ที่ควรทำการมงคลทั่วไป
1. วันที่เป็นมงคล ได้แก่ วันจันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันที่เป็นมิตรกับวันเกิดของตน
2. เดือนที่เป็นมงคล ได้แก่ เดือน 1 2 4 6 12 (นับทางจันทรคติ เดือน อ้าย เดือน ยี่)
3. เทวดาให้ฤกษ์ข้างขึ้นได้แก่ วันขึ้น 1 4 6 9 11 13 14 ค่ำ (เช้า ถึง เที่ยง, ค่ำถึงเที่ยงคืน
4. เทวดาให้ฤกษ์ข้างแรม ได้แก่ วันแรม 1 4 6 9 11 13 14 15 ค่ำ (เช้า ถึงเที่ยง , ค่ำถึงเที่ยง)
วันที่ต้องห้ามเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ
ห้ามเผาผีวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ บวชนาค วัน 14 ค่ำ ขึ้นบ้านใหม่วันเสาร์ นารีขึ้นแรม 11 ค่ำ สมรสขึ้นแรม 7 ค่ำ เผาศพขึ้นแรม 15 ค่ำ วันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ วันจมประจำเดือน วันดับวันสูรย์ วันอัดนิโรธ ท่านห้ามนักแล

วันที่เป็นมิตรกัน และศัตรูกัน

วันที่เป็นมิตรกัน
อาทิตย์ กับพฤหัส
จันทร์ กับพุธ
ศุกร์ กับอังคาร
พุธกลางคืน กับเสาร์ เป็นมิตรแก่กันดี
วันที่เป็นศัตรู
อาทิตย์ กับอังคาร
พุธ กับ พุธกลางคืน
ศุกร์ กับเสาร์
จันทร์ กับพฤหัสฯ เป็นอริแก่กัน

สีประจำวัน

สีประจำวัน
วันอาทิตย์ สีแดง
วันจันทร์ สีขาวนวล
วันอังคาร สีชมพู
วันพุธ สีเขียว
วันพฤหัสบดี สีเหลือง
วันวันศุกร์ สีฟ้า
วันเสาร์ สีดำ

พระประจำวัน

พระประจำวัน
วันอาทิตย์ ยืนถวายเนตร
วันจันทร์ ห้ามญาติ
วันอังคาร ไสยยาสน์
วันพุธ อุ้มบาตร
วันพฤหัสบดี สมาธิ
วันวันศุกร์ รำพึง
วันเสาร์ ไสยยาสน์

พระคาถาทำมาค้าขึ้น –เจริญโภคทรัพย์

พระคาถาทำมาค้าขึ้น –เจริญโภคทรัพย์
มะอะอุ มะณีจินตา ปิยังมะมะ, อุอากะสะ วิระทะโย วิระโคนายัง, ปฏิรูปะการี ธระวา อุฏฐาตา วินทะเต ธนัง เมกะมุอุ สิริ โภคานะมาสะโย, อุอะมะ นัตถีติ วะจะนังนามะ มาโหสิ ภะวาภะเว, นะชาลีตี ฉะวิจิมัง สัพพะลาภา สัพพะโภคา ภะวันตุเม, วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ, นะมะพะทะ สัพเวา รักขันตุ สุรักขันตุ.
ชีวิตคือการต่อสู้ จนแล้วต้องเจียม เจ็บแล้วต้องจำ, ผู้ใฝ่รู้ร้อนจักนอนเย็น ผู้ที่ใฝ่เย็นจักเข็ญใจ, จนอะไรไม่เท่ากับจนปัญญา, สำเนียงส่อชาติ มารยาทส่อตระกูล, อันทรัพย์ของคนดีมีน้อยพลอยได้พึ่ง เหมือนน้ำบึงน้ำบ่อพออาศัย, อันทรัพย์ของคนชั่วมากมีตระหนี่ใน, ดื่มไม่ได้น้ำสมุทรมันสุดเค็ม, มีเกลือน้อยด้อยราคา ดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล
จงเดินให้ถูกทิศ ดำเนินชีวิตให้ถูกทาง เก็บวางสิ่งของให้ถูกที่ ใช้คนและสิ่งของให้ถูกงาน, ธรรมใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ, ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ค่าของงานอยู่ที่การกระทำ ค่าของการกระทำอยู่ที่ความรับผิดชอบ ชีวิตนี้ยังมีหวัง

ลางดี ลางร้าย สำหรับประกอบกิจประจำวัน

ลางดี ลางร้าย สำหรับประกอบกิจประจำวัน

วัน นุ่งผ้าใหม่ ตัดผม สระหัว ตัดเล็บ

อาทิตย์ มีชัยชนะ อายุยืน อายุยืน เกิดศัตรู

จันทร์ มีเสน่ห์ จะมีลาภ มีโชคลาภ มีโชคลาภ

อังคาร มีทุกข์ ถูกทำร้าย มีชัยชนะ ข้าวของหาย

พุธ มีสวัสดี เกิดความ เป็นความ เจริญศรี

พฤหัสบดี มีปัญญา เทพรักษา เทพรักษา มีแต่ทุกข์

ศุกร์ มีทรัพย์ มีโชคลาภ มีคนรัก ได้โชคลาภ

เสาร์ เศร้าโศก ดีทุกอย่าง ดีทุกอย่าง จะเจ็บไข้

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

บททดสอบ ชีวิตรักของคุณและเขา

วันนี้ลองมาทดสอบความรักของคุณและคนรักดูนะคะว่าเป็นยังงัยกันบ้าง
1. ถ้าคุณเดินเข้าบ้านมา เจอดอกไม้ คุณคิดว่าดอกไม้นั้นสีอะไร
แดง เหลือง เขียว ม่วง ทอง ฟ้า ชมพู
2. หลังจากเข้าบ้านมาแล้ว เจอห้องนั่งเล่น สิ่งแรกที่คุณเห็นคืออะไร
รูปภาพบนฝาผนัง
โทรทัศน์
โซฟา
โคมไฟ
โต๊ะกินกาแฟ
3. นาฬิกาที่คุณเห็น เข็มสั้นจะชี้เลขอะไร
เลข 1-3
เลข 4-6
เลข 7-9
เลข 10-12
4. ในครัวมีของอยู่ 4 ชิ้น คุณจะเลือกอะไร
มีด จาน ถ้วย ช้อน
5. บันไดในบ้านคุณมีสีอะไร
ขาว ดำ ทั้งขาวและดำ
6. แล้วบันได้มีกี่ขั้น……………………………?
7. มีหมอนอยู่กี่ใบในห้องของคุณ
2 ใบ
3 ใบ
4 ใบ
8. เมื่อร้อนคุณจึงออกไปเปิดหน้าต่างที่ห้องอากาศข้างนอกในตอนนั้นเป็นอ่างไร
ฟ้าใส
ฝนตก
เมฆครึ้ม

มาดูเฉลยกันดีกว่าค่ะ
1. สีดอกไม้ที่เลือกหมายถึงนิสัยของสามีในอนาคตค่ะ
แดง คือ หนุ่มโรแมนติก
เหลือง คือ หนุ่มเสเพล จอมเจ้าชู้
เขียว คือ หนุ่มผู้ซื่อสัตย์ จริงใจ
ม่วง คือ หนุ่มฉลาด
ทอง คือ หนุ่มผู้ร่ำรวย
ฟ้า คือ หนุ่มผู้มีอำนาจ
ชมพู คือ หนุ่มผู้ไม่ได้เรื่อง ขี้เมา
2. หมายถึงความสัมพันธ์ของคุณกับคนรัก
รูปภาพบนฝาผนัง คือ คุณทั้งสองรักกันจนแก่เฒ่า
โทรทัศน์ คือ ความสันพันธ์ดี มีทะเลาะกันบ้างเป็นปกติ แต่ก็ยังรักกัน
โซฟา คือ ความสัมพันธ์ที่แย่สุดๆๆ
โคมไฟ คือ รักเขาข้างเดียว
โต๊ะกินกาแฟ คือ เพื่อนเท่านั้น
3. เวลาในการคบหาดูใจของคุณและคนรักก่อนร่วมหอลงโลง
เลข 1-3 คือ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง
เลข 4-6 คือ 2-3 ปี
เลข 7-9 คือ 3 ปีครึ่ง ถึง 5 ปี
เลข 10-12 คือ 5 ปี ขึ้นไป
4. ถ้าใครทำอะไรผิดขึ้นมาคุณจะ
มีด คือ ฆ่าสถานเดียว
จาน คือ ให้อภัยแล้วเริ่มต้นใหม่
ถ้วย คือ รักเขาเสมอไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร
ช้อน คือ เกลียดกันจนมองหน้ากันไม่ติด
5. ลูก ๆ ที่คุณอยากจะมีกันในอนาคต
ขาว คือ ลูกชาย
ดำ คือ ลูกสาว
ทั้งดำและขาว คือ ทั้งลูกชายและลูกสาว
6. คุณจะมีลูกเท่ากับจำนวนขั้นบันได้
7. ชีวิตแต่งงานของคุณจะเป็นอย่างไร
หมอน 2 ใบ คือ มั่นคงยั่งยืน
หมอน 3 ใบ คือ มีมือที่ 3 แน่ ๆ
หมอน 4 ใบ คือ แต่งงาน 2 ครั้ง
8. แล้วชีวิตหลังแต่งงานของคุณทั้งสองจะเป็นอย่างไร
ฟ้าใส คือ มีความสุข
ฝนตก คือ หย่า
เมฆครึ้ม คือ เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกัน